ในปัจจุบัน การขนส่งสินค้าส่วนใหญ่จะใช้การขนส่งทางทะเล
ด้วยเรือประเภท Container Ship จึง ควรเข้าใจถึงลักษณะและประเภทของ Container ซึ่งจะเป็น Durable Packing เป็นลักษณะตู้ทำด้วยเหล็ก
หรืออลูมิเนียม มีขนาดมาตรฐาน 20 ฟุต และ 40 ฟุต
การขนส่งด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์ การขนส่งทางทะเล
จัดเป็นการขนส่งที่มีความสำคัญที่สุดและใช้มากที่สุด เมื่อเทียบกับรูปแบบการ
ขนส่งอื่น ๆ เนื่องจากมีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำและสามารถขนส่งสินค้าได้คราวละมาก ๆ
โดยรูปแบบการขนส่ง ทางทะเลในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นการขนส่งด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์
(Container Box) โดยสินค้าที่จะขนส่ง
จะต้องมีการน ามาบรรจุตู้ (Stuffing) และมีการขนย้ายตู้ขึ้นไว้ บนเรือ Container Ship ซึ่งออกแบบมาเป็น พิเศษ
สำหรับใช้ในการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ทั้งนี้
ท่าเรือที่จะมารองรับเรือประเภทนี้จะต้องมีการออกแบบ ที่เรียกว่า Terminal Design เพื่อให้มี ความเหมาะสม
ทั้งในเชิงวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องประกอบด้วย ท่าเทียบเรือ
เขื่อนกั้นคลื่น รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งผู้ที่ศึกษา ในด้าน Logistics จะต้องให้ความสนใจในการที่จะศึกษาเกี่ยวกับการขนส่งด้วยระบบคอนเทนเนอร์ให้เข้าใจ
อย่างลึกซึ้ง คุณลักษณะของตู้คอนเทนเนอร์ (Container Box) ตู้คอนเทนเนอร์จะเป็นตู้ขนาดมาตรฐาน
อาจทำด้วยเหล็กหรืออลูมิเนียม มีโครงสร้างภายนอกที่
แข็งแรงสามารถวางเรียงซ้อนกันได้ไม่น้อยกว่า 10 ชั้น โดยจะมียึด หรือ Slot เพื่อให้แต่ละตู้จะมีการยึดติดกัน
ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีประตู 2 บาน ซึ่งจะมีรายละเอียด
ระบุหมายเลขตู้ (Container Number) น้ำหนักของสินค้าบรรจุสูงสุด ฯลฯ เมื่อปิดตู้แล้วจะมีที่ล็อกตู้
ซึ่งใช้ในการคล้องซีล (Seal) ซึ่งเดิมนั้นเป็นตะกั่ว
แต่ปัจจุบันจะเป็น Plastic มีหมายเลขกำกับ สำหรับใช้ในการบ่งชี้สถานะภาพ ซึ่งได้มีการพัฒนาไปถึง Electronic Seal ซึ่งสามารถเข้าไปตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิคส์
(Electronic Tracking) หาตำแหน่งของการ เคลื่อนย้ายตู้สินค้า และภายในตู้คอนเทนเนอร์
จะมีพื้นที่สำหรับใช้ในการวาง และบรรจุสินค้า
ประเภทของตู้สินค้า อาจแบ่งได้เป็น
1.Dry Cargoes เป็นตู้ที่ใส่สินค้าทั่วไป ที่มีการบรรจุหีบห่อหรือภาชนะ
ต้องเป็นสินค้าที่ไม่ต้องการ รักษาอุณหภูมิ โดยสินค้าที่เข้าตู้แล้ว
จะต้องมีการจัดทำที่กั้นไม่ให้มีสินค้าเลื่อนหรือขยับ ซึ่งอาจจะใช้ถุง
กระดาษที่มีการเป่าลม ที่เรียกว่า Balloon
Bags มาวางอัดไว้ในช่องว่างของสินค้ากับตัวตู้
หรืออาจใช้ไม้มาปิด กั้นเป็นผนังหน้าตู้ ที่เรียกว่า Wooden Partition และหากใช้เป็นเชือกไนลอนรัดหน้าตู้
ก็จะเรียกว่า Lashing
2.Refrigerator Cargoes เป็นตู้สินค้าประเภทที่มีเครื่องปรับอากาศ
มีการปรับอุณหภูมิในตู้ ซึ่งทำตามมาตรฐาน ต้องสามารถปรับอุณหภูมิได้อย่างน้อย –18 องศาเซลเซียส โดยเครื่องทำความเย็นนี้อาจจะติด
อยู่กับตัวตู้หรือมีปลั๊กใช้กระแสไฟฟ้าเสียบจากนอกตู้
โดยจะต้องมีที่วัดอุณหภูมิแสดงให้เห็นสถานะของ อุณหภูมิของตู้สินค้า
3.Garment Container เป็นตู้สินค้าที่ออกแบบสำหรับใช้ในการบรรจุสินค้าที่เป็นเสื้อผ้า
โดยมีราว สำหรับแขวนเสื้อ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้กับสินค้าที่เป็น Fashion ซึ่งไม่ต้องการที่จะมีการพับ หรือบรรจุใน Packing ที่จะมีผลทำให้เสื้อผ้ามีการยับหรือไม่สวยงาม
4.Open Top เป็นตู้ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเป็น 40 ฟุต
โดยจะออกแบบมาไม่ให้มีหลังคา สำหรับใช้ใน การวางสินค้าขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร
ซึ่งไม่สามารถขนย้ายผ่านประตูตู้ได้ จึงต้องขนย้ายโดยการยกส่วนบน ของตู้แทน
5.Flat-rack เป็นพื้นราบมีขนาดกว้างและยาว ตาม Size ของ Container มาตรฐาน โดยจะเป็นตู้
คล้ายกับ Container ที่มีแต่พื้น Platform สำหรับใส่สินค้าที่มีลักษณะเป็นพิเศษ
เช่น เครื่องจักร , แท่งหิน , ประติมากรรม , รถแทรกเตอร์
ซึ่งสินค้าเหล่านี้ อาจจะขนส่งด้วยเรือที่เป็น Conventional Ship แต่หากเมื่อขนส่งด้วยเรือระบบ Container แล้ว ก็จะต้องมาวางใน Flat rack เพื่อให้สามารถจัดเรียงกองในรูปแบบที่เป็น Slot ซึ่งเป็นลักษณะของเรือที่เป็น Container
เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ (Container Vessel)
เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์
เป็นเรือที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในการบรรทุกตู้สินค้าโดยเฉพาะ เรือสินค้า แต่ละลำ
จะมีที่ยกตู้ที่เรียกว่า Quay Cranes ประมาณ 1-4 ตัว โดย Crane แต่ละตัวจะลำเลียงตู้
ที่วางอยู่ ตามความลึกของเรือ ซึ่งจะมีการเรียงกันเป็น Column ในปัจจุบันเรือบรรทุกโดยเฉลี่ยจะเป็นประมาณ 2,700 TEU แต่เรือที่มีขนาดใหญ่ที่อยู่ในชั้นที่เรียกว่า SX Class หรือที่เรียกว่า Super Post Panamaxx จะมีความยาวโดยเฉลี่ย 320x330 เมตร กินน้ำลึก ประมาณ 13-14 เมตร
มีความกว้างวางคอนเทนเนอร์ได้ 20-22 แถว
ซึ่งสามารถบรรทุกตู้สินค้าได้สูงสุดถึง 8,000
TEU ทั้งนี้
ในอนาคตกำลังมีการต่อเรือที่มีขนาดใหญ่ขึ้นไป ในชั้น Malaccamax ซึ่งจะสามารถขนย้ายตู้
คอนเทนเนอร์ได้ 18,000 TEU โดยขนาดเรือที่ใหญ่ขึ้นมากนี้จะมีผลทำให้ต้นทุนโดยรวมจะลดลง
เนื่องจากลด ต้นทุนแปรผัน ที่เรียกว่า Variable
Cost ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน
หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับแรงงาน อย่างไรก็ดี จะต้องมีการบริหารการจัดการ
ในการที่จะหาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
วิธีการขนย้ายคอนเทนเนอร์ในท่าเรือชนิดหรือขนาดของตู้คอนเทนเนอร์
การขนย้ายสินค้าในท่าเรือจัดเป็นเทคโนโลยีที่ต้องการการบริหารจัดการ
เนื่องจากแต่ละท่าจะ แข่งขันกันเป็นนาทีในการยกสินค้าขึ้นและลง ทั้งนี้
ในปัจจุบันระบบการจัดการท่าเรือ ที่เรียกว่า Port Automation จะทำหน้าที่ในการจัดการ
ท่าเรือ ในระบบที่ใช้ Computer และหุ่นยนต์ในการขนย้ายคอนเทนเนอร์หน้าท่า
การขนย้ายสินค้าในท่าเรือ มีกระบวนการดังต่อไปนี้
1.Stacking Lanes เป็นการจัดย้ายสินค้าไปวางเรียงกอง ซึ่งจะมีการวางเป็นชั้น ที่เรียกว่า Stack ซึ่ง
โดยปกติจะมีการวางเรียงคอนเทนเนอร์ไว้ 4-5 ชั้น โดยมีความกว้างของช่องทาง
ที่เรียกว่า Gantry Crane เป็นเครื่องมือในการขนย้าย
ซึ่งปัจจุบันในหลายท่าได้นำระบบ Computer
Right เข้ามากำหนด Location ใน การวางตู้ โดยมีหอ Control Room ใช้ในการควบคุมการทำงาน
2.การเคลื่อนย้ายคอนเทนเนอร์ไปไว้หน้าท่า
ซึ่งอาจจะใช้ตัว Gantry
Crane หรืออาจอาศัยรถยกที่
เรียกว่า Top ทำหน้าที่ในการเคลื่อนย้าย 3.การ Slot Stacking เป็นการยกตู้สินค้าที่วางอยู่บริเวณหน้าท่า Quay ขึ้นไปวางไว้บนเรือ โดยมี Quay
Crane คือ Crane ที่อยู่หน้าท่าทำหน้าที่ในการขนย้าย
ส าหรับ ประเทศไทยมีท่าเรือหลักที่สำคัญ คือท่าเรือกรุงเทพฯ
จะมีตู้เข้า-ออกประมาณเกือบ 1 ล้าน ตู้ต่อปี
และท่าเรือแหลมฉบัง จะมีตู้เข้าและออกประมาณ 2.9-3.0 ล้าน TEU
นอกจากนี้ยังมี ท่าเรือมาบตาพุด , ท่าเรือน้ำลึกสงขลา , ท่าเรือสตูล
ซึ่งประเทศไทยเอง ก็คงจะต้อง แข่งขันกับหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์หรือ
ฮ่องกง ซึ่งจะมีตู้เข้า-ออก ปีละประมาณ 17.04 ล้าน TEU
ชนิดหรือขนาดของตู้คอนเทนเนอร์
การขนส่งสินค้าด้วยContainer Vessel นั้น สินค้าจะต้องบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ หากผู้ขายเป็นผู้ บรรจุ
ก็จะเรียกว่า Term CY คือ Consignee Load and Count หากบริษัทเรือเป็นผู้บรรจุตู้สินค้าในท่าเรือ
หรือใน ICD (Inland
Container Depot) ซึ่งตัวแทนบริษัทเรือเป็นเจ้าของสถานที่
ก็จะเรียกลักษณะการขนส่ง แบบนี้ว่า CFS
(Container Freight Station) โดยสินค้าที่จะเป็น Term
CY ได้นั้น
จะต้องเป็นสินค้าประเภทเต็มตู้ที่เรียกว่า FCL (Full Container Load) ส่วนใน Term CFS ก็สามารถเป็นได้ทั้งที่เป็น FCL และ การบรรจุแบบรวมตู้(Consolidated) คือ สินค้าน้อยกว่า 1 ตู้ ซึ่งเรียกว่า LCL
(Less Container Load) สำหรับ Containers ที่ใช้ในการบรรจุนี้ส่วนใหญ่
จะมีขนาดดังนี้
1.ขนาด 20 ฟุต เป็นตู้ที่มี Outside Dimension คือ ยาว 19.10 ฟุต และกว้าง 8.0 ฟุต สูง 8.6 ฟุต
โดยมีน้ำหนักบรรจุตู้ได้สูงสุดประมาณ 32-33.5
CUM (คิวบิกเมตร) และน้ำ หนักบรรจุตู้ได้ไม่เกิน 21.7 ตัน
2.ตู้ขนาด 40 ฟุต จะมีความยาว 40 ฟุต กว้าง 8 ฟุต สูง 9.6 ฟุต (Hicute) โดยสามารถบรรจุสินค้าได้ 76.40
– 76.88 CUM และบรรจุสินค้าน้ำหนักสูงสุดได้ 27.4 M/T ซึ่งจะเป็นน้ำหนักสำหรับสินค้าประเภท Dry Cargoes สำหรับ
การขนส่งสินค้าด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์ได้รับการยอมรับว่า เป็นรูปแบบการขนส่ง
มาตรฐาน โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณถึง 95
% ของการขนส่งสินค้าทางทะเล
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการขนส่งด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์
จะมีเพียงไม่มากราย เมื่อเทียบกับปริมาณของ การขนส่ง
โดยผู้ให้บริการสายการเดินเรือ ซึ่งเรียกว่า Carrier จะมีการรวมตัวกันเป็นชมรม
(Conference) ซึ่ง จะมีบทบาทต่อการกำหนดค่าขนส่งสินค้า
และค่าบริการในอัตราที่บางครั้งมีลักษณะกึ่งผูกขาด
ชมรมสายการเดินเรือที่สำคัญของโลก อาจประกอบด้วย
1.Far Eastern Freight Conference (FEFC) จะเป็นบริการรับขนสินค้าจากเอเซียไปยุโรป
โดยเน้น ที่สินค้าที่ไปทางทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งจัดได้ว่า
เป็นอาณาบริเวณซึ่งมีการขยายตัวประมาณ 24 % และ สินค้าที่ไปทางรัสเซียด้านตะวันออก St.Petersburg
2.Asia / West Coast South America จะเป็นการเดินเรือในด้านตะวันตกของเอเซีย
จนไปถึงทวีป อเมริกาใต้
3.Informal Rate Agreement (IRA) ชมรมนี้จะครอบคลุมธุรกิจจากเอเชียไกล
ไปถึงเอเชียภาค ตะวันออกกลาง ครอบคลุมไปถึงเกาหลี , จีน , ฮ่องกง , ใต้หวัน , เวียดนาม , ไทย , ฟิลิปปินส์ , มาเลเซีย , สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
4.Trans Pacific ครอบคลุมอาณาบริเวณริมมหาสมุทรแปซิฟิก
ออสเตรเลีย , นิวซีแลนด์ ,อเมริกา West Coast
วิธีการคิดค่าระวางเรือ หรือ ค่า Freight
เนื่องจากในปัจจุบัน การขนส่งสินค้าส่วนใหญ่จะใช้การขนส่งทางทะเลด้วยเรือประเภท Container Ship จึงควรเข้าใจถึงลักษณะและประเภทของ Container ซึ่งจะเป็น Durable Packing เป็นลักษณะตู้ทำด้วยเหล็กหรืออลูมิเนียม
มีขนาดมาตรฐาน 20 ฟุต และ 40 ฟุต ทั้งนี้ บริษัทเรือจะต้องเป็นผู้เตรียมตู้ Container โดยผู้ที่จะใช้ตู้จะต้องทำการจองตู้
โดย เอกสารที่เรียกว่า Shipping
Particular หรือที่เรียกกันง่าย
ๆ ว่า ใบ Booking ซึ่งรายละเอียด
จะต้องคล้องจองกับ Letter
of Credit (L/C) สำหรับ
เอกสารที่ใช้ในการเป็นใบรับสินค้าของตัวแทนบริษัทเรือ จะเรียกว่า Bill of Lading (B/L) หรือใบตราส่ง
ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการเป็นเอกสาร ในการเรียกเก็บเงินจากทาง ธนาคาร ที่เรียกว่า Bank Negotiated Process ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศคู่ค้า
จะต้อง มีการตกลงว่า ผู้ซื้อหรือผู้ขายสินค้า จะเป็นคนจ่ายค่าระวางเรือ
ที่เรียกว่า Freight Charge หาก ผู้ขายสินค้าเป็นผู้ชำระ
เรียกว่า Freight Prepaid แต่หากให้ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระค่าระวางเรือเมื่อถึง
ปลายทาง จะเรียกว่า Freight
Correct การคิดค่าระวางเรือ
(Freight Charge Basic)
1.Weight Ton คำนวณจากน้ำหนักสินค้าที่บรรทุก และจะมีอัตราการคิดที่แตกต่างกัน ตามแต่ละประเภทของสินค้า
2.คำนวณจาก Measurement โดยคำนวณจากปริมาตรของสินค้า
คือ เป็นการวัดขนาด ของสินค้า กว้าง x ยาว x สูง คำนวณออกมาเป็น ลูกบาศก์เมตร (M3 หรือ CBM) มักจะใช้กับ สินค้าที่มีลักษณะ Bulk คือ มีลักษณะเป็น Size Insentive เช่น เสื้อผ้า , ฝ้าย แต่ทั้งนี้จะต้องมี การชั่งน้ำหนัก โดยเปรียบเทียบว่า ถ้าน้ำหนัก (Weight
Ton) สูงกว่า
ก็จะคิดค่าระวางจากน้ำหนัก
3.การคำนวณจาก V (Ad Valorem Goods) คือ Degree ที่สินค้ามีราคาสูง
ถึงแม้ว่าจะมี ปริมาตรน้อย น้ำหนักไม่มาก แต่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
การคิดค่าระวางก็จะคิดเพิ่มอีก 3-5 เท่า ของมูลค่าสินค้า 4.ค่าระวางพิเศษ ได้แก่
ค่าใช้จ่ายทั้งหลายที่บริษัทเรือ คิดเพิ่มเติมจากค่าระวางพื้นฐาน ซึ่ง ประกอบด้วย
(1) ค่าระวาง Surcharge เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่มีการเรียกเก็บ
เนื่องในกรณีต่าง ๆ เช่น ภัย สงคราม หรือในช่วงที่มีการ Peak Season
(2) Terminal Handling Charge : THC เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการขนถ่ายสินค้า
ทั้งต้น ทางและปลายทาง ได้แก่ การใช้เครนที่เรียกว่า Top คือ ค่าภาระ , ค่าลากตู้สินค้า
(3) Bunker Adjustment Factor : BAF เป็นค่าระวางพิเศษ
ชดเชยภาระค่าน้ำมัน เชื้อเพลิง ที่มีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเกิดวิกฤติการณ์ด้านน้ำมัน
ที่ทำให้บริษัทเรือมีต้นทุนที่ สูงขึ้นกว่าต้นทุนปกติ โดยจะมีการเรียกเก็บค่า BAF หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า Bunker
Charge ซึ่ง
อาจจะขึ้นและลงได้ เป็นไปตามดุลยภาพของ Demand
& Supply (4) Currency Adjustment Factor : CAF เป็นค่าปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
โดยค่า ระวางเรือส่วนมาก จะเรียกเก็บเป็นเงินสกุลดอลล่าห์สหรัฐฯ
หากกรณีอัตราแลกเปลี่ยนมีการ ผกผัน ทางบริษัทเรือก็จะมีการเรียกเก็บ
(5) Congestion Surcharge เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษ เนื่องจากความแออัดในท่าเรือ เป็น ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บเนื่องจากบางท่าเรือ
อาจมีการบริหารจัดการไม่ดี ทำให้มีการขนย้ายตู้ขึ้นและ ลง
ล่าช้ากว่าเกณฑ์ที่ทางบริษัทเรือกำหนดไว้ ซึ่งอาจจะเกิดจากเหตุอื่น เช่น
การจราจรที่ติดขัด การนัดหยุดงานของคนงาน ซึ่งมีผลทำให้งานล่าช้า
(6) Bill of Lading Charge : B/L Charge ค่าออกใบตราส่ง
เป็นค่าธรรมเนียมในการที่ บริษัทเรือต้องจัดพิมพ์ใบ Bill of Lading ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการแสดงสถานะภาพ (Status) ว่า
สินค้าได้มีการขนส่งไปกับบริษัทเรือ ซึ่ง B/L หรือที่เรียกว่า ใบตราส่งจะมีออกเป็น หลายฉบับ เช่น ฉบับที่เรียกว่า Original , Duplicate Original , Triple
Original และ Copy Non-Negotiate ทั้งหมดนี้ทางบริษัทเรือจะเรียกเก็บเป็นค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร
(7) AMSC : Advance Manifest Security Charge เป็นค่าใช้จ่ายในการที่บริษัทเรือต้อง Input Data 24 ชั่วโมงก่อนการขนถ่ายสินค้า
ที่เรียกว่า 24 Hour Rules ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
มาตรการความร่วมมือ การป้องกันผู้ก่อการร้ายที่เรียกว่า C-TPAT (Customs Trade Partnerships
(8) Against Terrorism) ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในลำดับสุดท้ายของ Top Twenty Mega Port ในการขนส่งสินค้า
จึงต้องเสียค่า AMSC Charge รวมถึงการแก้ไขเอกสาร ISPS Code (International Ship and Port
Facility Security Code) เป็นประมวลข้อบังคับว่าด้วยการ รักษาความปลอดภัยของเรือ
และท่าเรือระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อแก้ไขใหม่ภายใต้อนุสัญญา
SOLAS Chapter XI-2 เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการรักษาความ ปลอดภัยทางทะเล
โดยมุ่งที่การรักษาความปลอดภัยของเรือ และท่าเรือ โดยกำหนดให้มีการ
ประเมินสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงในระดับต่าง ๆ และกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่
เหมาะกับระดับความเสี่ยง ประกอบด้วย
1) เรือ
(Vessel) กำหนดให้บริษัทเรือต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (Company Security Officer : CSO) เพื่อรับผิดชอบในการจัดทำการประเมินสถานการณ์ความ
ปลอดภัยของเรือ (Ship Security Assessment) และแผนรักษาความปลอดภัยของเรือ
ซึ่งจะต้อง ได้รับอนุมัติจากกรมการขนส่งทางน้ำและพานิชยนาวี
2) ท่าเรือ
(Port) กำหนดให้ต้องมีการประเมินสถานการณ์ความเสี่ยง
ต่อความปลอดภัย ของท่าเรือ โดยต้องมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
เพื่อรับผิดชอบในการจัดทำ และ ดำเนินตามแผนรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากกรมการขนส่งทางน้ำ และพานิชยนาวี โดยท่าเรือทุกแห่งที่ให้บริการเรือโดยสาร
เรือบรรทุกสินค้า ต้องจดทะเบียนใน ประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะต้องจัดทำขั้นตอน
การปฏิบัติงานและแผนความปลอดภัย เพื่อ สนองต่อหน่วยงานราชการของไทย คือ
กรมการขนส่งทางน้ำ และพานิชยนาวี เพื่อทำการ ประเมินและออกใบรับรอง อ้างอิง http://www.marinerthai.net/sara/viewsara1006.php